หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์
ชาวบ้านเรียกขานกันจนติดปากว่า วัดหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ถูกพบเมื่อวันจันทร์ที่ ๒ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน พุทธศักราช ๒๕๐๒ องค์หลวงพ่อเป็นดินโบกปูนทับตกแต่งองค์หลวงพ่อและประดิษฐานอยู่บนคันคลองระพีพัฒน์ ทิศตะวันออก(คลองระพีพัฒน์ขุดในสมัย ร.๕) ต่อมาได้มีคนงานชลประทานประตูน้ำพระเอกาทศรถมาขุดดินบริเวณนี้ไปถมซ่อมแซมตามตลิ่งน้ำที่น้ำเซาะพัง ขุดดินไปหลายวันแล้วจนถึงองค์หลวงพ่อซึ่งเป็นดินแข็งมาก คนงานขุดดินไม่เข้าจึงได้ขุดไปรอบ ๆ เท่าที่ขุดได้ ต่อมาดินก็ได้แตกเป็นรูปองค์พระ ไม่มีใครคาดคิดว่าเป็นองค์หลวงพ่อ ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างมามุงดูกันจำนวนมาก บางคนก็พูดว่าเป็นพระพุทธรูปมาเกิด บางคนก็คิดว่าคนงานชลประทานปั้นขึ้นมาในปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ ทางการชลประทานมีคำสั่งให้เอารถขุดปราบทางทำถนนบนคันคลองจากท่าหลวงถึงอำเภอหนองแค ระหว่างถึงองค์หลวงพ่อรถได้ขุดไปรอบ ๆ ฐานเกือบจะถูกองค์หลวงพ่อ ก็เกิดปาฏิหาริย์ ฟ้าได้ผ่าลงมากลางแจ้งทั้งที่ท้องฟ้าก็ปราศจากเมฆฝน คนขับรถจึงรีบหยุดรถแล้วกระโดดลงมากราบขอขมาอภัย แล้วรถขุดก็ไม่กล้าขุดใกล้องค์หลวงพ่ออีกต่อไป ทำให้ถนนบนคันคลองระพีพัฒน์ต้องเบี่ยงหลบองค์หลวงพ่อดังที่เห็นในปัจจุบัน




วัดหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐาน ณ วิหารริมคลองระพีพัฒน์ ตลาดหนองตาโล่ ตำบลคชสิทธิ์ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี






หลังจากที่ทีมงานอาถรรพ์ 13 ได้เดินทางมาถึง วิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์นั้น และได้มาพูดคุยกับคุณลุง แดน นามสุทธิ์ ซึ่งเป็นประชาสัมพันธ์ของวิหาร ดังกล่าว ได้เล่าถึงความปฏิหาริย์ และความศักสิทธิ์ ของหลวงพ่อ โดยคุณลุงแดนได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณ2538ตนได้ให้เหรียญหลวงพ่อศักสิทธิ์รุ่น4ปี38ให้ชาวบ้านคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ระแวกแถวนั้นเพื่อเป็นสิริมงคล ต่อมาชายคนดังกล่าวได้ขับรถมาเกิดอุบัติเหตุที่บริเวณหน้าวิหาร เค้าได้ขี่มอเตอร์ไซด์ตัดหน้ารถสิบล้อในระยะกระชั้นชิด โดนรถสิบล้อบดขยี้ร่างและรถของเค้าแหลกจนไม่มีชิ้นดี และแล้วปฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นโดยร่างของเค้ากระเด็นเข้ามาที่หน้าวิหาร โดยตัวของเค้าไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอะไรเลยสักนิด จนเป็นฮือฮาของชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น โดยต่างคิดว่าน่าจะเป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสำเร็จสักสิทธิ์ และเหรียญที่เค้าห้อยอยู่ ที่ช่วยคุ้มครอง ให้เค้าปลอดภัยกับเกตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
วัดสะตือ
ตั้งอยู่เลขที่ ๑๔๐ บ้านท่างาม หมู่ที่ ๖ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ตามหลักฐานเดิมวัดมีพื้นที่ประมาณ ๓๗ ไร่ แม่น้ำป่าสักได้กลืนที่ดินวัดแหว่งเว้าไปทีละนิด ทีละหน่อย ตั้งแต่สร้างเขื่อนพระราม ๖ เป็นต้นมา ที่ดินหน้าวัดหายลึกไปประมาณ ๒๐ วา เมื่อทางกรมที่ดินออกโฉนดที่ดินวัดให้ใหม่เหลือที่ดินซึ่งมีเนื้อที่เพียง ๑๕ ไร่ ๑ งาน ๘๐ ตารางวา เลขที่โฉนดที่ดิน ๗๐๗๑ เลขที่ดิน ๖๙๙ อาณาเขต ทิศเหนือยาว ๒๔๐ เมตร ติดต่อกับที่ตั้งบ้านเรือนของประชาชน ทิศใต้ยาว ๔๐ เมตร ติดต่อกับที่ตั้งบ้านเรือนของประชากร ทิศตะวันออกยาว ๑๖๐ เมตร ติดต่อกับแม่น้ำแควป่าสัก ทิศตะวันตกยาว ๒๔๐ เมตร ติดต่อกับถนนเข้าหมู่บ้านอาคารเสนาสนะต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย พระอุโบสถกว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๒.๙๐ เมตร สร้าง พ.ศ. ๒๔๙๘ โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก และดำเนินการบูรณะซ่อมแซมโดย พลตรีมนูญกฤษ รูปขจร ในครั้งที่ ๑ ซึ่งบ้านเกิดอยู่หลังองค์พระพุทธไสยาสน์ และในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ พระอธิการทองคำ คัมภีรปัญโญ เจ้าอาวาสในขณะนั้นได้ทำการบูรณะ โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ควบคุมการบูรณะ ศาลาการเปรียญเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๑๒.๗๕ เมตร ยาว ๒๑.๕๐ เมตร สร้าง พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นอาคารคอนกรีต สูงใหญ่ ๒ ชั้น หอสวดมนต์กว้าง ๙.๕๐ เมตร ยาว ๑๘.๕๐ เมตร สร้าง พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น กุฎีสงฆ์ จำนวน ๗ หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ หอฉันเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
ปูชนียสถานวัตถุ และปูชนียวัตถุ มี พระประธานในพระอุโบสถ ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๖๕ นิ้ว สูง ๑๒๖ นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ พระปรางค์นาคปรก สมัยทวาราวดี(ลพบุรี) เนื้อหินทราย กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุไว้ รอยพระพุทธบาทจำลอง มีอายุการสร้าง ๑๐๐ กว่าปี เกศเก่าพระพุทธไสยาสน์เก็บไว้ในวิหาร พระพุทธไสยาสน์(หลวงพ่อโต) สร้าง พ.ศ. ๒๔๑๓ ประดิษฐานอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัด เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง
ตามจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๕ ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า "วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙) ได้กินข้าวกลางวันที่วัดท่างาม ทรงทำครัวและเสวยที่ตรงบริเวณใต้เศียรพระนอนใหญ่ และที่เรียกกันว่า ท่าหลวง นั้นเกิดขึ้นใหม่ เพราะพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จมานมัสการรอยพระพุทธบาท ๒ ครั้ง ขึ้นที่ท่างามทั้ง ๒ ครั้ง ตามพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๕ ในจดหมายเหตุเรื่องเสด็จประพาสต้น ครั้งที่ ๒ วัดท่างามดังกล่าวนั้นหมายถึง "วัดสะตือ" ในปัจจุบัน และ ที่วัดนี้มีโรงเรียนประถมศึกษาของทางราชการตั้งอยู่ในบริเวณที่ดินของวัด วัดสะตือได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งหลังวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๔ เมตร
รูปที่ ๑ คือ หลวงพ่อกลอย (ไม่ทราบว่าท่านมาจากไหน)
รูปที่ ๒ หลวงพ่อสุข (บ้านเดิมอยู่ท่าหลวง)
รูปที่ ๓ พระอาจารย์มา (บ้านเดิมอยู่ท่างาม)
รูปที่ ๔ พระอุปัชฌาย์บัตร จนฺทโชติ เจ้าคณะตำบลจำปา บิดามารดาของท่านเป็นชาวเวียงจันทร์อพยพมาอยู่ตำบลนี้ เดิมอุปสมบทอยู่วัดบ้านครัว ตำบลบ้านครัว อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี(พระ สุวรรณ์วิมลศีล เจ้าคณะจังหวัดอยุธยาองค์แรกนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาส )พ.ศ. ๒๔๔๘ -๒๔๙๕ อายุ ๘๗ พรรษา ๖๖
การบูรณซ่อมแซม ครั้งที่ ๑ พระอุปัชฌาย์บัตร จนฺทโชติ อดีตเจ้าอาวาส กล่าวว่า พระนอนวัดสะตือ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีมะเมีย (เวลานั้นท่านอายุๆได้ ๕ ขวบ) ว่าเจ้าประคุณสมเด็จโต ให้พวกทาสในตำบลไก่จ้น และตำบลอื่นช่วยกันสร้าง ก่อเตาเผาอิฐกันเองที่บริเวณหน้าพระนอน ใช้ระยะเวลาสร้างอยู่ประมาณ ๒ ปีจึงเสร็จ เมื่อสร้างพระเสร็จแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ได้ช่วยพวกทาสเหล่านั้นให้พ้นจากความเป็นทาสทุกๆคน และว่าตั้งแต่สร้างพระมาเป็นเวลา ๕๐ กว่า ปีแล้ว ยังไม่ปรากฏการบูรณปฏิสังขรณ์ องค์พระและสิ่งก่อสร้างปรักหักพัง ทรุดโทรมมาก ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๖๕ ท่านได้เริ่มทำการปฏิสังขรณ์โดยว่าจ้างนายเรือง นางบาง ไวยฉาย อยู่บ้าน ท่าแดง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้รับจ้าง และได้นายเปล่ง แหวนเพชร์ เป็นลูกมือก่ออิฐถือปูน เป็นผู้ช่วย ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวของท่านทั้งสิ้น ท่านไม่ได้บอกบุญเรี่ยไร เป็นแต่ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธา ได้จัดหาซื้อปูนมาช่วยท่าน ถือว่าเป็นการบูรณะครั้งแรก ทำการบูรณปฏิสังขรณ์อยู่ ๔ ปี จึงแล้วเสร็จ เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๖๘ ว่าสิ้นปูนขาวถึง ๖๕ เกวียน เฉพาะพระเศียรใช้ปูนขาวทั้งสิ้น ๑๐ เกวียน แต่ไม่ทราบว่าใช้เงินไปเท่าไหร่ เพราะได้เงินมาได้ทำไปเรื่อยๆ หนึ่งปีต่อมา ท่านได้จัดให้มีการประชุมนมัสการและปิดทองพระนอนในวันขึ้น ๑๓-๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ และวันขึ้น ๑๓-๑๕ ค่ำ ในเดือน ๕ และกำหนดเป็นงานเทศการประจำปีตั้งแต่นั้นมา
การบูรณะครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นเมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม กับคณะ เดินทางมาปิดทองพระนอนวัดสะตือ เมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีวอก พ.ศ. ๒๔๙๙ ตรงกับวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ เวลานั้นพระนอนอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก ท่านนายกรัฐมนตรี มีจิตใจประกอบด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า ได้จัดการปฏิสังขรณ์พระนอนใหม่ ทั้งองค์ โดยบัญชาการให้กรมโยธาเทศบาลอำนวยการปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้ ปฏิสังขรณ์อยู่ ๓ เดือนจึงแล้วเสร็จ การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ขนาดขององค์พระได้ลดไปจากขนาดเดิมไปมาก พระเกศของเก่าชำรุดและปัจจุบันนำมาเก็บรักษาไว้ในวิหารหน้าองค์หลวงพ่อโต
การบูรณะครั้งที่ ๔ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยพระอธิการทองคำ คัมภีร์ปัญโญ (ทองคำ อินทโชติ) น.ธ. เอก อดีตเจ้าอาวาส ไดร่วมกับชาวบ้านทำการบูรณและทาสีน้ำองค์พระ
การบูรณะครั้งที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖ โดยพระมหาจำรัส คุตตสีโล อดีตเจ้าอาวาส ร่วมกับชาวบ้านทำการบูรณะและพ่นองค์หลวงต่อโตเป็นสีทอง และได้เปลี่ยนเม็ดพระสกจากแก้วใส เป็นนิลอัดก้อน ใช้งบในการบูรณะ ๒,๘๔๕,๐๐๐ บาทโดย หจก.ประเสริฐอรชร
การบูรณะครั้งที่ ๖ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พระครูปริยัตยาธิคุณเจ้าอาวาสวัดสะตือองค์ปัจจุบัน ร่วมกับนายณรงค์ อ่อนสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้อำนวยการศิลปากรที่ ๓ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำลังดำเนินการประชุมและวางแผนชี้แจงแนวทางการบูรณะเพื่อซ่อมแซมรอยร้าวครั้งใหญ่ โดยลอกสี และจะทำการกระเทาะปูนเก่าที่หมดคุณภาพออกโดยฉาบปูนตำแบบโบราณ
บุคคลสำคัญที่มาเยือนวัดสะตือ
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดเขื่อนพระราม ๖ พ.ศ. ๒๔๖๔ ณ ตำบล ท่าหลวง
- พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาท ๒ ครั้ง ที่วัดท่างาม (วัดสะตือ) ราวปี พ.ศ.๒๔๓๑ และ พ.ศ.๒๔๔๙ (พระราชนิพนธ์รัชการที่ ๕ ในจดหมายเหตุเรื่องเสด็จประพาสต้น ครั้งที่ ๒)
- จอมพล ป. พิบูลสงคราม มานมัสการเมื่อปี พ.ศ ๒๔๙๙
- สมเด็จอริยวงศาคตญาณ (วาสน์ วาสนมหาเถระ) เสด็จมานมัสการองค์พระพุทธไสยาสน์ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
- สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม บางกอกน้อย กทม. ทรงมาเป็นประธานการยกช่อฟ้าอุโบสถ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๓
- สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เสด็จมาเป็นประธานพิธีฉลองการบูรณะองค์หลวงพ่อโต วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๖
- สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ กทม. มานมัสการพระพุทธไสยาสน์ และบูชาเศียรเก่าขององค์หลวงพ่อโต เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๖ (เป็นประธานพิธีพุทธาภิเษก)
วัดพระพุทธฉาย
ตั้งอยู่ที่ อำเภอเมืองสระบุรี
จังหวัดสระบุรี อยู่ภายในมณฑปสองยอดบนไหล่ภูเขา เป็นที่ประดิษฐาน
พระพุทธฉาย(เงาพระพุทธเจ้า)คือเงาเลือนลางที่เป็นรอยประทับอยู่ที่หน้าผา
เชิงเขา บริเวณวัดพระพุทธฉาย มีลักษณะคล้าย พระพุทธรูปยืน
สันนิษฐานว่าค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา
ตำนานพระพุทธฉายโดยย่อ พระพุทธเจ้าเสด็จมา
ที่เขาฆาฏกะ(เขาพระพุทธฉาย)เพื่อโปรดนายพรานฆาฏกะจนสำเร็จพระอรหันต์
ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ พระฆาฏกะได้ทูลขอให้ ประทานสิ่งอันเป็นอนุสรณ์
เพื่อสักการะกราบไหว้
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพุทธปาฏิหาริย์ให้เงาของพระองค์ติดอยู่ในเนื้อหิน
ที่เงื้อมเขาพระพุทธฉายบรรพต
ในบริเวณใกล้เคียงมีมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวา
มณฑปหลังนี้สร้างขึ้นในสมัย สมเด็จพระเจ้าเสือ
และมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่อัญเชิญมาจากลังกา ทุกปีจะมีงานนมัสการพระพุทธฉาย
พร้อมกับงานนมัสการรอย พระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี
ประวัติพระพุทธฉาย
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารบุพพารามในนครสาวัตถี ได้ประทานอุปสมบท (บวช) พระบิณโฑละฯ ให้เป็น พระภิกษุในพระพุทธศาสนา แล้วได้มอบให้พระโมคคัลลานะ พาไปปฏิบัติสมณธรรมจนกว่าจะได้สำเร็จมรรคผล พระโมคคัลลานะ ได้นำพาไปปฏิบัติสมณธรรมในชมพูทวีป&(อินเดีย) หลายแห่งก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผล จึงได้มาปฏิบัติสมณธรรมใน ปัจจันตชนบทโดยกำหนดเอาประเทศสุวรรณภูมิ (ประเทศไทย) ณ ภูเขาฆาฏกะอันเป็นที่อาศัยของนายพรานฆาฏกะกับบริวาร จึงได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ในระหว่างที่มาปฏิบัติสมณธรรมอยู่ ณ สถานที่พระโมคคัลลานะได้ ทราบพฤติกรรมของนายพรานฆาฏกะกับบริวารว่าเป็นผู้มีสันดาน หยาบช้า โหดร้าย ทารุณ มีอาชีพทางล่าสัตว์ พระโมคคัลลานะ ได้แสดงปาฏิหาริย์หลายประการเพื่อจะยังสันดานของนายพรานฆาฏกะให้เลื่อมใสแต่ไม่สำเร็จ ต่อเมื่อได้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาโปรด และได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างหลายประการด้วยกัน เพื่อให้นายพรานฆาฏกะได้ละทิฏฐิมานะสันดานหยาบช้า จนในที่สุดได้มีศรัทธาเลื่อมใสถึงกับทูลอุปสมบท พระบรมศาสดาได้ทรง ประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา (บวชให้ด้วยพระองค์เอง) แล้วตรัสสั่งสอนให้ปฏิบัติสมณธรรมได้สำเร็จพระอรหันต์เป็น พระอริยบุคคล ในพระพุทธศาสนา เมื่อพระบรมศาสดาจะเสด็จกลับบุพพาราม ภิกษุฆาฏกะได้ทูลขอติดตามพระองค์ๆ ได้ทรงห้ามไว้เพื่อให้ช่วย ประกาศพระศาสนา พระฆาฏกะได้ทูลขอสิ่งที่เคารพสักการะ พระองค์จึงได้ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้เงาของพระองค์ติดไว้ ณ เงื้อมภูเขาแห่งนี้ และได้ประทับ "รอยพระบาท" ติดไว้ ณ บนยอดภูเขาแห่งนี้ด้วย ซึ่งจะได้เป็นที่สักการะเคารพกราบไหว้บูชาของ พระฆาฏกะและบริวาร ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารบุพพารามในนครสาวัตถี ได้ประทานอุปสมบท (บวช) พระบิณโฑละฯ ให้เป็น พระภิกษุในพระพุทธศาสนา แล้วได้มอบให้พระโมคคัลลานะ พาไปปฏิบัติสมณธรรมจนกว่าจะได้สำเร็จมรรคผล พระโมคคัลลานะ ได้นำพาไปปฏิบัติสมณธรรมในชมพูทวีป&(อินเดีย) หลายแห่งก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผล จึงได้มาปฏิบัติสมณธรรมใน ปัจจันตชนบทโดยกำหนดเอาประเทศสุวรรณภูมิ (ประเทศไทย) ณ ภูเขาฆาฏกะอันเป็นที่อาศัยของนายพรานฆาฏกะกับบริวาร จึงได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ในระหว่างที่มาปฏิบัติสมณธรรมอยู่ ณ สถานที่พระโมคคัลลานะได้ ทราบพฤติกรรมของนายพรานฆาฏกะกับบริวารว่าเป็นผู้มีสันดาน หยาบช้า โหดร้าย ทารุณ มีอาชีพทางล่าสัตว์ พระโมคคัลลานะ ได้แสดงปาฏิหาริย์หลายประการเพื่อจะยังสันดานของนายพรานฆาฏกะให้เลื่อมใสแต่ไม่สำเร็จ ต่อเมื่อได้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาโปรด และได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างหลายประการด้วยกัน เพื่อให้นายพรานฆาฏกะได้ละทิฏฐิมานะสันดานหยาบช้า จนในที่สุดได้มีศรัทธาเลื่อมใสถึงกับทูลอุปสมบท พระบรมศาสดาได้ทรง ประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา (บวชให้ด้วยพระองค์เอง) แล้วตรัสสั่งสอนให้ปฏิบัติสมณธรรมได้สำเร็จพระอรหันต์เป็น พระอริยบุคคล ในพระพุทธศาสนา เมื่อพระบรมศาสดาจะเสด็จกลับบุพพาราม ภิกษุฆาฏกะได้ทูลขอติดตามพระองค์ๆ ได้ทรงห้ามไว้เพื่อให้ช่วย ประกาศพระศาสนา พระฆาฏกะได้ทูลขอสิ่งที่เคารพสักการะ พระองค์จึงได้ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้เงาของพระองค์ติดไว้ ณ เงื้อมภูเขาแห่งนี้ และได้ประทับ "รอยพระบาท" ติดไว้ ณ บนยอดภูเขาแห่งนี้ด้วย ซึ่งจะได้เป็นที่สักการะเคารพกราบไหว้บูชาของ พระฆาฏกะและบริวาร ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไป
วัดพระพุทธฉาย | |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
รอยพระพุทธฉาย | |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
สันนิษฐานว่าพระพุทธฉายนี้ ถูกค้นพบในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
หลังจากพบรอยพระพุทธบาท ตรงกับรัชสมัยของ พระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2163-2171)
ซึ่งทรงรับสั่งให้ค้นหารอยพระพุทธบาทตามภูเขาทุกแห่ง จึงพบพระพุทธฉาย ณ
ภูเขาแห่งนี้
สมัยที่ค้นพบพระพุทธฉายได้สร้างพระมณฑปครอบพระบรมฉายาลักษณ์ไว้เป็นสถานที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน
ตลอดจนพระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อมา และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เป็นต้น
พระพุทธฉายได้บูรณะซ่อมสร้างมา เป็นเวลาช้านานชำรุด ทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก
จนทางข้าราชการร่วมกับคณะสงฆ์เห็นว่าจะปล่อยทิ้งรกร้างไว้อีกต่อไปไม่ได้
ปูชนียสถานที่สำคัญ จะถูกทำลายลง จึงได้ส่ง พระครูพุทธฉายภิบาล (นาค
ปานรัตน์) มาเป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. 2491 เพื่อบูรณะซ่อมสร้าง สถานที่
พระพุทธฉายให้เจริญต่อไป เจ้าอาวาสได้ซ่อมแซมใหญ่
โดยซ่อมที่มณฑปที่ชำรุดซึ่งสร้างไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงเทพฯ
บนยอดภูเขาตามเดิม
ส่วนมณฑปเก่าครอบพระบาทจำลองบนยอดเขายังคงไว้เป็นอนุสรณ์
ในลำดับต่อมาได้สร้างบันไดจาก
พื้นล่างด้านตะวันออกพระพุทธฉายขึ้นไปจนถึงยอดภูเขายาวประมาณ ๒๗๐ ขั้น
เพื่อให้ความสะดวกแก่ประชาชน จะได้ขึ้นไป นมัสการพระพุทธรูปปางต่างๆ
ข้างบนและภายในอุโบสถ
โดยบูชารอยพระพุทธบาทจำลองและชมวิวทิวทัศน์อันสวยสดงดงาม
พร้อมด้วยบูชาสักการะพระรูปพระโมคคัลลานะ ที่ได้สร้างขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2526
ประดิษฐานอยู่ ณ ลานพระโมคคัลลานะ
ในวิหารพระปฏิมากรเป็นประหนึ่งสังเวชนียสถานอันจะเกิดเป็นกุศลผลบุญต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น